อยู่สบายตายสงบ (ที่บ้าน) ประสบการณ์ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้กำหนดฉากสุดท้ายของชีวิต

อยู่สบายตายสงบ (ที่บ้าน) ประสบการณ์ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้กำหนดฉากสุดท้ายของชีวิต

เรื่องโดย ธันยพร บัวทอง

มนุษย์นึกถึงความตายบ่อยแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นความตายของตัวเองหรือพ่อแม่ที่แก่ชรา

เราอาจนึกจินตนาการถึงความตายของคนที่เรารัก ใช่หรือไม่ว่า หลายครั้ง เรากลับนึกถึงตัวเราเองต่างหากว่าจะเป็นอย่างไร ทำใจได้ไหม เมื่อเวลานั้นมาถึง

ก่อนวันขึ้นปีใหม่ที่ผ่านมาไม่กี่วัน ผู้เขียนได้ฟังเรื่องราวบางช่วงของ ประมวล ใจวิจิตร ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายวัย 67 ปี ที่จากโลกนี้ไปแล้วกว่า 2 ปี จากความทรงจำของลูกสาว อิรชิฏา ใจวิจิตร

ในช่วงท้ายของชีวิต ประมวลมีเจตจำนงค์ที่จะเลือกตายอย่างสงบที่บ้านท่ามกลางครอบครัว ไม่ใช่ที่โรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยเครื่องมือพยุงชีพในวันที่ร่างกายไม่อาจฝืนความเป็นไปของโรค

“ทำคีโมหลาย ๆ ครั้งเข้า คุณแม่ก็ไม่ไหว แม่บอกว่าการที่ทำแบบนี้ แม่คิดว่าจะเป็นมะเร็งตายดีกว่า ทำคีโมอาจจะทรมานกว่า เป็นมะเร็งอาจจะไม่ทรมานเท่าคีโมก็ได้ แม่คิดแบบนี้ก็ตัดสินใจว่าหยุด”  อิรชิฏา เล่าถึงการตัดสินใจของแม่

 
การดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง คืออะไร เว็บไซต์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล อ้างอิงนิยามขององค์การอนามัยโลก เรื่องการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายหรือระยะประคับประคอง หรือ palliative care ไว้ว่า เป็น วีธีการดูแลผู้ป่วยที่ป่วยเป็นระยะสุดท้ายของโรคและครอบครัว โดยให้การป้องกันและบรรเทาอาการตลอดจนความทุกข์ทรมานด้านต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น การดูแลเน้นการดูแลที่เป็นองค์รวมครอบคลุมทุกมิติของสุขภาพอัน ได้แก่ กาย ใจ สังคม และจิตวิญญาณของผู้ป่วยเป้าหมายหลักของการดูแลคือ การลดความทรมานของผู้ป่วย เพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว และทำให้ผู้ป่วยได้เสียชีวิตอย่างสงบหรือ “ตายดี” หลักการสำคัญของการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ดูแลเป็นองค์รวม ทั้งกาย ใจ สังคม และจิตวิญาณ ดูแลทั้งผู้ป่วยและครอบครัว เพราะเมื่อสมาชิกครอบครัวป่วยหนัก ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คนอื่น ๆ ในครอบครัวจะได้รับผลกระทบจากการเจ็บป่วยของผู้ป่วยไปด้วย ให้ความเคารพสิทธิของผู้ป่วยและครอบครัวในการรับทราบข้อมูลการเจ็บป่วย และให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีส่วนร่วมตัดสินใจเรื่องแนวทางและเป้าหมายของการดูแล ปรัชญาของการดูแลจะไม่ใช่เป็นการใช้เครื่องมือหรือความรู้ทางการแพทย์ที่เป็นเพียงการยื้อความทรมานโดยไม่เพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และไม่ใช่เป็นการเร่งหรือช่วยให้ผู้ป่วยเสียชีวิตเร็วกว่าการดำเนินโรคตามธรรมชาติ เป็นการดูแลโดยทีมสหวิชาชีพ มีการประสานงานระหว่างบุคคลากรสาธารณสุขหลายสาขา เพื่อให้สามารถช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัวได้มากที่สุด

ประมวล ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นมะเร็งที่ปอดก่อนในครั้งแรก เมื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดในครั้งต่อ ๆ มา พบว่ามะเร็งปรากฏที่ลำไส้ใหญ่ กระดูก และต่อมน้ำเหลือง

สองแม่ลูกเข้าออกโรงพยาบาลหลายครั้งหลังจากแพทย์วินิจฉัยครั้งแรก  กินระยะเวลากว่า 9 เดือน ในการพยายามรักษาด้วยการฉายแสงและเคมีทั้งสิ้น 18 ครั้ง การต่อสู้กับมะเร็งในอวัยวะหลายส่วน ทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย ทั้งการอาเจียน ท้องเสียรุนแรง และบาดแผลที่ลิ้น มือ เท้า เป็นความเจ็บปวดทรมานสาหัสที่ผู้เป็นลูกเห็นแม่ต้องเผชิญ

“เห็นด้วยไหมกับการตัดสินใจของคุณแม่” 

อิรชิฏา ตอบว่า “สงสารที่ท่านปวดร้าวทุกสิ่งอย่าง” และไม่อยากเห็นคุณแม่ใช้ช่วงเวลาที่เหลือของชีวิตเจ็บปวดจากการพยายามสู้กับโรคร้าย

“ไม่ว่าสูตรคีโม จะรุนแรงต่อเนื่องแค่ไหน รุนแรงแค่ไหน ท่านจะอยู่ได้เพียงเท่านี้ ก็ทำให้ตัดสินใจว่าการเจ็บปวดขนาดนี้ แล้วให้คุณแม่มีชีวิตที่เหลืออยู่อย่างทุกข์ทรมาน จนกว่าท่านจะจากไป มันอาจจะไม่ได้เป็นความคิดที่ไม่ได้สร้างสรรค์ และไม่ได้เป็นการกตัญญูต่อคุณแม่ เพราะว่าท่านจะต้องทรมานแบบนี้ในเวลาอันน้อยนิดของท่าน สู้ให้ท่าน อยู่อย่างมีความสุขที่สุดในเวลาที่เหลืออยู่ ที่มีอยู่ดีกว่าถ้าเราทราบถึงขั้นนี้”

ในตอนแรกครอบครัววางแผนว่า เมื่อหยุดการรักษาจะใช้วิถีการดูแลแบบแพทย์ทางเลือกเป็นหลัก จนได้รู้จักกับ “เยือนเย็น” วิสาหกิจเพื่อสังคมที่ให้คำปรึกษากับผู้ป่วยระยะสุดท้าย ทำให้ครอบครัวได้รู้จักกับการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองหรือ Palliative care

 

สิ่งที่ประมวลตอบออกไปในวันนั้น เป็นวิถีชีวิตที่เธอทำมาเนิ่นนานคือ การเดินทางสายพุทธศาสนาด้วยกิจวัตรการทำบุญเหมือนช่วงที่สุขภาพยังแข็งแรง

“คุณแม่บอกค่ะ อยากไปไหว้พระพุทธชินราชที่พิษณุโลก ที่บ้านเกิดของคุณแม่ แล้วก็อยากจะไปทำบุญต่อที่ท่านเคยชอบทำน่ะค่ะ คุณหมอก็บอกว่าให้ทำได้เลยนะ ให้พาไปเลย เมื่อหยุดคีโม คุณแม่ก็เริ่มฟื้นจากอาการแพ้ทุกอย่าง แล้วเราก็เดินทางไปกันได้ค่ะ” อิรชิฏา กล่าวถึงช่วงเวลาที่ คุณแม่ได้ใช้ชีวิตตามที่ต้องการในช่วงสุดท้าย ซึ่งเธอมองว่ามีส่วนช่วยในด้านจิตใจของแม่

“ทำให้ท่านอยู่ได้เหมือนบุญหล่อเลี้ยงท่าน จนท่านอยู่ได้เพิ่มขึ้น เวลาเพิ่มขึ้น ความทรมานที่ควรจะมากกว่านี้ก็สามารถจัดการได้”

 
ติดตามบทความเพิ่มเติมได้ที่ https://bbc.in/3WkqH65