การสร้างคุณภาพชีวิตบั้นปลายด้วย Palliative Care

การสร้างคุณภาพชีวิตบั้นปลายด้วย Palliative Care

KEY POINTS

  • การดูแลแบบประคับประคอง คือแนวทางที่ช่วยให้ผู้ป่วยระยะท้ายมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด โดยเน้นการบรรเทาความเจ็บปวด ทั้งทางกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ พร้อมเคารพความต้องการของผู้ป่วยเป็นหลัก
  • Palliative Care ไม่ใช่การยื้อชีวิตหรือยอมแพ้ต่อโรค แต่เป็นการวางแผนการดูแลล่วงหน้า เพื่อให้ผู้ป่วยจากไปอย่างสงบ dignified และครอบครัวสามารถรับมือกับการสูญเสียได้อย่างเข้าใจและมีพลังใจ

เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ได้เขียนเรื่องการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) ซึ่งก็มีคนสนใจเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย ได้มีอยู่เพื่อนท่านหนึ่งเขียนบอกมาว่า เมื่อได้อ่านเรื่องนี้แล้ว ทำให้คิดถึงคุณพ่อ ในช่วงที่คุณพ่อของท่านก่อนจะจากไป เขาก็ได้ไปปรึกษาท่านอาจารย์อิศรางค์ นุชประยูร ผู้ก่อตั้งวิสาหกิจเพื่อสังคม “เยือนเย็น” เพื่อขอคำแนะนำ ซึ่งเขาคิดว่าเป็นประโยชน์มากๆ อาจารย์อิศรางค์ท่านได้ให้แนวคิด เรื่องการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและไม่ต้องกังวลใจ ในการใช้ชีวิตบั้นปลายได้โดยอิสระเสรี ไม่มีสิ่งต้องห้ามที่ทำให้ผู้ป่วยกังวลใจ ก่อนที่จะจากโลกนี้ไปด้วยความสุขใจ ผมเชื่อว่าหลายคนคงทำใจได้ยากมาก ที่จะต้องลด ละ เลิก ในสิ่งที่ตนเองทำมาตลอดชีวิต แต่พอล้มป่วยลงในขั้นสุดท้ายแล้ว จะต้องทำในสิ่งที่ตนเองเสพสุขอยู่ คงจะไม่มีความสุขอีกต่อไป

ผมเองก็มีความเชื่อว่า หลายคนอาจนึกถึงความร่วงโรย ความเจ็บป่วย หรือการจากไป จนทำให้รู้สึกว่า ตนเองหมดอาลัยตายอยากกับการมีชีวิตอยู่ดูโลกอีกต่อไป และทำให้เป็นทุกข์มากขึ้นไปอีก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ชีวิตช่วงสุดท้ายนี้ เราก็สามารถทำให้เป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่า เต็มไปด้วยความสุขสงบ และศักดิ์ศรีได้ หากได้รับการดูแลที่เหมาะสม นั่นคือ การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) นั่นเอง เพราะนั่นไม่ใช่เพียงการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายเท่านั้น แต่เป็นการดูแลที่มุ่งเน้นการเพิ่มคุณภาพชีวิตอย่างองค์รวม ตั้งแต่เริ่มมีการวินิจฉัยโรคร้ายแรงที่คุกคามชีวิต ไปจนถึงช่วงเวลาสุดท้าย และครอบคลุมถึงการดูแลครอบครัวด้วย

การดูแลแบบประคับประคอง หรือ Palliative Care ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเร่งหรือยื้อการเสียชีวิต แต่เป็นมากกว่าการยื้อชีวิตด้วยการดูแล เพื่อช่วยให้ครอบครัวและตัวของผู้ป่วย เผชิญกับความเจ็บป่วยอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยมุ่งเน้นไปที่การป้องกัน และบรรเทาความทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ หัวใจสำคัญของการดูแลแบบประคับประคองคือการ “เข้าใจ” และ “การเคารพ” ความต้องการของผู้ป่วยเป็นสำคัญ เพื่อให้ผู้ป่วยได้ใช้ชีวิตในช่วงเวลาที่เหลืออย่างจำกัดนี้ ให้อยู่อย่างมีความสุขสงบมากที่สุด

เรามาลองนึกภาพถึงผู้ป่วยมะเร็งระยะลุกลาม ที่ต้องทนทุกข์จากอาการปวดทรมาน หอบเหนื่อย หรือคลื่นไส้อาเจียนจนไม่สามารถรับประทานอาหารได้ ความทุกข์ทรมานเหล่านี้ ไม่เพียงบั่นทอนร่างกาย แต่ยังส่งผลต่อจิตใจของทั้งผู้ป่วยเอง และคนในครอบครัวอย่างมหาศาล Palliative Care จึงเข้ามามีบทบาทตรงนี้ ด้วยการจัดการอาการไม่สุขสบายต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยาแก้ปวดที่เหมาะสม การให้ออกซิเจนบรรเทาอาการหอบเหนื่อย หรือการดูแลช่องปาก เพื่อลดอาการคลื่นไส้ สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีเรี่ยวแรง สื่อสารกับคนในครอบครัวได้ และอาจจะกลับมาทำกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่ตนเองเคยรักหรือชอบที่จะทำได้อีกครั้ง นั่นคือการคืน “คุณภาพชีวิต” ให้กับผู้ป่วยนั่นเองครับ

การดูแลแบบประคับประคองประกอบด้วยหลากหลายมิติที่เชื่อมโยงกัน เพื่อให้การดูแลครอบคลุมและครบวงจร ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญสู่ชีวิตบั้นปลายที่สมบูรณ์ ด้วยการจัดการควบคุมอาการ (Symptom Control) ที่ไม่สุขสบายอย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือหัวใจสำคัญ ที่ช่วยให้ผู้ป่วยหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมาน ทั้งอาการเจ็บปวดรุนแรง หอบเหนื่อย คลื่นไส้อาเจียน ท้องผูก เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย หรือแผลกดทับ ซึ่งทีมของ Palliative Care อันอาจประกอบด้วยแพทย์ พยาบาล เภสัชกร และนักจิตวิทยา เขาเหล่านั้นอาจจะต้องทำงานร่วมกัน เพื่อประเมินและวางแผนการจัดการอาการเหล่านี้อย่างเหมาะสมที่สุด โดยใช้ยาและการรักษาที่ไม่ใช่ยา ควบคู่กันไป เมื่อผู้ป่วยรู้สึกกายและจิตใจไม่สบายก็จะผ่อนคลายลง ความสุขสงบก็จะเข้ามาแทนที่ ก่อนที่จะจากโลกนี้ไปอย่างมีความสุขนั่นเองครับ

การดูแลแบบประคับประคอง หรือ Palliative Care ไม่เพียงแต่ดูแลทางด้านสุขภาพกายเท่านั้น ยังต้องมีการดูแลด้านจิตใจและอารมณ์ (Psychological and Emotional Support) ด้วย เพราะการเผชิญกับโรคร้ายแรงต่างๆ มักจะมาพร้อมกับความรู้สึกกลัว วิตกกังวล เศร้าโศก หรือแม้แต่ปฏิเสธการดูแลรักษาของทีม Palliative Care ซึ่งมักต้องมีนักจิตวิทยา และผู้เชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษาที่จะคอยรับฟัง ให้กำลังใจ ซึ่งช่วยผู้ป่วยและครอบครัว จัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเข้าใจ บางครั้งเพียงแค่การได้พูดคุย หรือระบายความรู้สึก ก็สามารถช่วยบรรเทาความหนักอึ้งในใจได้มากแล้วครับ

นอกจากนี้ การสนับสนุนทางสังคมและจิตวิญญาณ (Social and Spiritual Care) ซึ่งผู้ป่วยที่มีความเจ็บป่วยอยู่ ที่จะส่งผลกระทบต่อบทบาททางสังคม ความสัมพันธ์ และความเชื่อของผู้ป่วย ซึ่งการดูแลแบบประคับประคองหรือ Palliative Care จึงให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงผู้ป่วยกับครอบครัว ชุมชน และความเชื่อทางศาสนา เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกถึงคุณค่าของตนเอง ไม่โดดเดี่ยว และมีความสงบทางจิตใจ ซึ่งอาจรวมถึงการจัดหาโอกาสในการทำบุญ การสวดมนต์ หรือการได้พบปะกับคนที่รัก จึงมีความสำคัญอย่างมากครับ

จะเห็นได้ว่า การวางแผนการดูแลล่วงหน้า (Advance Care Planning – ACP) จึงเป็นกระบวนการสำคัญ ที่เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้พูดคุยกับทีมแพทย์และครอบครัว เกี่ยวกับความต้องการ และเป้าหมายในการดูแลรักษาของตนเองในอนาคต หากเกิดภาวะที่ไม่สามารถสื่อสารได้ หรือใกล้ถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต เช่น ต้องการรับการรักษาแบบใด? ไม่ต้องการยื้อชีวิตด้วยเครื่องช่วยหายใจหรือไม่? ต้องการดูแลที่บ้านหรือที่โรงพยาบาล? การวางแผนล่วงหน้านี้ ช่วยให้ผู้ป่วยได้จากไปอย่างสงบ ตามความปรารถนาของตนเอง อีกทั้งยังช่วยลดความขัดแย้ง และความหนักใจของผู้ป่วยและครอบครัวด้วยเช่นกัน

ครอบครัวที่ให้การดูแลและให้การสนับสนุนจากครอบครัว (Family and Bereavement Support) ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นหัวใจสำคัญ ในการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง Palliative Care จึงให้ความสำคัญกับการให้ข้อมูล คำแนะนำ และการสนับสนุนทางจิตใจแก่ครอบครัวอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ระหว่างที่ผู้ป่วยยังมีชีวิตอยู่ และต่อเนื่องไปจนกระทั่งถึงหลังการจากไปของผู้ป่วย เพื่อช่วยให้ครอบครัวรับมือกับการสูญเสีย และสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้

จะเห็นได้ว่าในประเทศไทยเรา การดูแลแบบประคับประคองหรือ Palliative Care กำลังเป็นที่รู้จักและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในโรงพยาบาลหลายๆ แห่ง มักจะมีหน่วยหรือคลินิก Palliative Care โดยเฉพาะ บางแห่งก็มีสถานชีวาภิบาล ที่ให้การดูแลผู้ป่วยระยะท้าย บางแห่งก็มีการขยายบริการ Palliative Home Care หรือการดูแลที่บ้านมากขึ้น รวมถึงมีสิทธิประโยชน์ด้าน Palliative Care ในระบบหลักประกันสุขภาพอย่างถ้วนหน้า เพื่อให้ผู้ป่วยทุกคนสามารถเข้าถึงการดูแลนี้ได้อย่างเท่าเทียม

ดังที่กล่าวมาทั้งหมด โดยส่วนตัวผมคิดว่า การเข้าถึง Palliative Care ไม่ได้หมายถึงการยอมแพ้ต่อโรค หรือการรอคอยความตาย แต่เป็นการเลือกที่จะใช้ชีวิตในบั้นปลาย ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ให้ดีที่สุด มีความสุขที่สุด และมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ครบถ้วน เพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัว ไม่จำเป็นต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานเพียงลำพัง ดังนั้น Palliative Care ก็คือแสงสว่างที่ส่องนำทางให้ชีวิตบั้นปลายไม่มืดมิด แต่เต็มไปด้วยความสงบ ความสุข และความหมาย ที่ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของลูกหลานทุกๆ คนด้วยครับ

#เยือนเย็น
#HumanLibrary
#Deathfest2025 Day2
#เยือนเย็นวิสาหกิจเพื่อสังคม
#palliativecare
#การดูแลแบบประคับประคอง
#ดูแลที่บ้าน