ดีใจที่ไม่ต้องไปโรงพยาบาลอีก

" ดีใจที่ไม่ต้องไปโรงพยาบาลอีก "

การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ตอนที่ 4
 
+ วันนี้โทรศัพท์ดังตั้งแต่ตี 5 …มันไม่ใช่ครั้งแรก แต่เราก็มีลางสังหรณ์เพราะดูจากพัฒนาการขาลงที่ร่างกายเริ่มเสื่อมไปทีละอย่างว่าครั้งนี้คุณป้าอาจจะเดินทางจริงๆแล้ว ไม่ใช่ซ้อมใหญ่เหมือนหลายๆ ครั้ง
 
+ คุณป้ามีสายออกซิเจนแบบสวมที่เราหามาเพื่อไม่ให้เหนื่อยมาก แต่คุณป้าก็ยังมีอาการ air hunger คือเปิดปากเพราะอากาศคงไม่พอ ทีมงานเยือนเย็นบอกว่ามันเป็นอาการช่วงท้ายๆ เมื่อปอดเริ่มทำงานไม่ดีแล้ว
 
+ ตอนนั้นเราโทรเรียกพี่สาว / หลานชาย /โอปอลและโอภาส มาช่วยกันสวดมนต์บทข้างล่างที่แปะไว้ให้ดู เพื่อคุณป้าจะได้มีสติและหวังว่าจะไม่เจ็บปวด บทสวดนี้ง่ายและไพเราะ ระหว่างสวดเราใส่ความรักความเมตตาลงไปตามที่อ.กฤษดาวรรณสอน คุณป้าสงบนิ่งไม่ตอบรับใดๆ แต่ความเชื่อของทิเบต เรายังสื่อสารกับท่านทางเสียงได้ เพราะอวัยวะนี้ยังทำงานอยู่ ไม่เหมือนสายตาที่อาจจะพร่ามัวไปแล้ว เราสวดบทสั้นๆ ตั้งแต่รุ่งเช้า สวดๆๆๆ ใจอาจจะแวบคิดอย่างอื่นบ้าง เพราะรู้ว่าต้องตามญาติพี่น้อง แต่เราก็รู้เท่าทันและเรียกตัวเองกลับมาสวดให้ท่าน
 
+ ปรากฏการณ์ที่ลมหายใจค่อยๆ ห่างออกไป หยุดเป็นบางจังหวะเป็นสัญญาณว่าท่านพร้อมจะละจากเรือที่ใช้มา 90 ปี เราเคยเฝ้าคุณพ่อและคุณย่าที่ ICU แต่ไม่เคยได้สวดแบบมีสติ และที่สำคัญเราคิดว่าครั้งนี้คุณป้ามีสติก่อนออกเดินทาง 9.20 คือเวลาโดยประมาณที่ท่านเริ่มเดินทาง
 
+ ประสบการณ์ที่ได้ดูแลคุณป้าที่เป็นดั่งแม่ในระยะสุดท้าย ทุกคนก็บอกว่ามันคือการได้กตัญญู แต่อยากจะบอกว่ามันเป็นมากกว่านั้น เปิ้ลว่ามันได้ช่วยลบล้างความรู้สึกผิดในใจ เราเชื่อว่าลูกหลานทุกคนเคยโต้เถียงดื้อดึงในหลายรูปแบบกับบุพการี ซึ่งมันเป็นธรรมชาติของวัยรุ่นวัยโตที่จะต้องมีถกเถียงกับคนที่เรารัก การปฏิบัติต่อท่านในระยะสุดท้ายเช่นนี้จึงเป็นการขออโหสิกรรมผ่านทางพฤติกรรมคือความรักความเมตตาที่มีพลังมากกว่าการขออโหสิกรรมผ่านคำพูดเพียงอย่างเดียว
 
เปิ้ลยังมีเรื่องอย่างเล่าอีกมากมายเกี่ยวกับการเตรียมดูแลผู้ใหญ่ที่ท่านรัก ขอให้บุญกุศลของเรื่องราวนี้จงส่งผลให้คุณป้าได้พาจิตไปยังภพภูมิที่ดีงามด้วยค่ะ