คุณตาล ดีใจจังที่เราบังเอิญผ่านมา
ณ วันที่10เมษา2017 คือวันเริ่มต้นกับการเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิต มีคนถามมากมายว่าเป็นมะเร็งสมอง( Glioblastoma ) GBM ชนิดนี้ได้ยังไง ? ทำไมถึงเป็นระยะสุดท้าย ? หมอเองก็ตอบไม่ได้เช่นกัน เพราะไม่ได้เกิดจากกรรมพันธ์ุ ไม่ได้เกิดจากความเครียด ไม่ได้เกิดจากอาหาร คือง่ายๆหมอทั่วโลกยังคงหาข้อมูลจากคนที่เป็นว่าเค้าทำอะไร อะไรคือจุดที่ทำให้เป็นมะเร็งชนิดนี้ ซึ่งยังคงเป็นสิ่งที่หมอทั่วโลกยังคงหาคำตอบกันอยู่ กลับมาที่ตัวเราเอง.. เรากำลังมีความสุขมากๆกับคนที่เรารัก ในวันนั้นเรากำลังถ่ายภาพพรีเวดดิ้งกัน โดยมีตากล้องเป็นเพื่อนเราสมัย ตอพ. Som Naksuwan และมีผู้ช่วยตากล้องคือเพื่อนสมัยเด็กน้อย ป.2 Lovebird Amornwatpong พูดถึงทำไมนะหรอในวันนี้? เพราะเป็นวันที่ภรรยาเราเค้าพูดเสมอ และพูดทุกครั้งว่า “เพราะพี่ตาลตากแดดมากๆ ไม่ใส่หมวก ไม่หลบแดด เหมือนคนอื่นๆ” เลยเป็นจุดเริ่มต้นของมะเร็งในกรณีของเรา เพราะเราเป็นคนไม่ชอบใส่หมวก ทำอะไรด่วนๆ ไม่สนใจกับร่างกาย อยากทานอะไรก็ทาน ไม่อยากทานก็อดและไปทานเอาตอนมื้อดึกแล้ว เพราะคิดเสมอว่าเราแข็งแรงไม่มีทางจะเป็นไรแน่นอน ในวันนั้นคือวันถ่ายพรีเวดดิ้งและขอแฟน Kornchawan Sittiketkandแต่งงานในวันเดียวกัน โดยมีเพื่อนๆ Pattarawadee Seanpong Yotch Yvette Thanyaluckpark เพื่อนสมัย ป.2 มาช่วยในการเซอร์ไพร์ เรามีคำพูดติดตลกกะเพื่อนๆว่า “เดี๋ยวมาถ่ายซ่อมดีกว่า อยากได้ภาพเยอะๆในวันแต่งงาน” เราสองคนตั้งใจกันไว้ตลอดว่าจะจัดงานในวันที่4พย.2017 มีเวลาถ่ายภาพซ่อมและทำโน่นนี่นั้นได้อีกมากมาย ** แต่ทุกอย่างหยุดลงในวันที่20เมษายน2017 เพียงแค่10วันเท่านั้น เราล้มลงในที่ทำงานโดยไม่ได้มีอาการใดๆเลยก่อนที่จะเกิดขึ้น มีเพียงแค่เมื่อสั่งงาน พนง. เสร็จ ก็เดินไปเข้าห้องน้ำ จู่ๆก็เวียนหัวอ้วกทันที และรู้สึกว่าต้องไป รพ. เพราะมึนมาก หันไปอ้วกทางด้านขวาสองครั้ง และจู่ๆก็หันหน้าไปทางซ้าย แล้วหลังจากนั้นจำอะไรไม่ได้อีกเลย ตื่นมาจำได้ตอนที่เราถูกย้ายตัวขึ้นไปนอนห้องผู้ป่วยเดี่ยว ซึ่งเราตื่นขึ้นมาเจอหน้าแฟน แล้วถามเค้าว่า ” พี่มาทำอะไรที่นี่ ? ” แฟนบอกเพียงว่า ” พี่ล้มที่ห้องน้ำ พอพามา รพ.หมอบอกว่ามีเนื้องอกในสมองประมาณ 5 cm ต้องผ่าตัดด่วน พี่ผ่าออกมาแล้วนะ หมอให้นอนพักฟื้นดูอาการ พี่เก่งมากๆเลยนะ ” ในตอนนั้นมีคำถามอีกมากมายในหัว ว่าเวลาที่ผ่านมาหลายวันที่อยู่ในห้องICU เราทำอะไรหรือพูดอะไร แฟนยิ้มแล้วบอกว่า “พี่บอกพ่อกับแม่กับทุกคนว่าเราสองคนแต่งงานกันแล้ว ถ้ามีอะไรก็ขอกลับไปนอนที่บ้านฝน ” บอกตรงๆยิ่ง งง หนักมากอะไรนะ เราพูดแบบนี้จริงๆหรอ ซึ่งก็เป็นคำถามและสิ่งที่คุยกันตลอดในช่วงที่พักอยู่ที่ รพ. และไม่มีคำพูดใดๆเลยที่เกี่ยบกับมะเร็ง เพราะมารู้ทีหลังว่า ครอบครัว เพื่อนและแฟน ต่างมีความเห็นว่าไม่ควรบอกกับเราในช่วงที่พักฟื้นอยู่ พวกเค้าทั้งหมดรู้ตั้งแต่หลังผ่าตัดผ่านไปสามวัน หมอแจ้งว่าเราป่วยเป็นมะเร็งสมอง( Glioblastoma ) GBM ระยะสุดท้ายแล้ว เรามารู้เมื่อเห็นเอกสารจาก รพ.ว่าจะส่งตัวเราไปฉายแสงที่ศูนย์มะเร็ง เราเปิดอ่านทั้งๆที่เอกสารเป็นเอกสารปิดผนึก เป็นภาษาEng เราเปิดดูข้อมูลต่างๆในGoogle เชื่อมั้ยว่าข้อมูลของมะเร็งสมองชนิดนี้น้อยมาก เราอ่านทุกข้อมูลอ่านของต่างประเทศ แต่มาหยุดอ่านตอนที่แฟนมานั่งใกล้ๆ แล้วพูดว่า “ฝนรู้แล้วว่าพี่เป็นมะเร็ง ไม่ต้องหาข้อมูล พี่เป็นมะเร็งสมองระยะสุดท้าย” เราเงียบไปนิดนึงแล้วถามแฟนว่าทำไมไม่บอกพี่ละ เค้าบอกว่ากลัวเราคิดมากและกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นและอาจจะทำให้ร่างกายแย่ลง เลยรอให้ออกจาก รพ.ก่อน เชื่อมั้ยว่าเราไม่กลัวเลยกับมะเร็ง เพราะเพื่อนเราคนนี้Taninee Anawan เราผ่านจุดนี้ได้เพราะเพื่อนคนนี้ เพื่อน ป.2 รายละเอียดคงยาวมากๆเอาเป็นว่า บีเองก็เป็นผู้ป่วยมะเร็งเช่นเดียวกัน แต่คำพูดของบีก็ทำให้เราไม่มีความกลัวใดๆเลยกับโรคนี้ มันหมดความกลัวตั้งแต่ที่ได้คุยกันมานานมากๆแล้ว นานก่อนที่เราจะล้มหลายปีมากๆเลย (ถ้าอยากรู้ว่าพูดว่าอะไร ไว้รอบหน้าจะบอกนะ) พอได้คุยกับแฟนจึงทำให้ได้รู้ว่า คนรอบข้างมากกว่าที่กลัวกับสิ่งนี้ ผู้ป่วยอย่างเรากับบี ไม่ได้กลัวเลยโรคมะเร็ง แต่เป็นห่วงคนรอบข้างมากกว่า
ณ วันนี้ผ่านมาก็จะ6เดือนแล้วกับสิ่งที่เกิดขึ้น เราได้ทำสิ่งดีๆมากมายหลังจากที่ป่วย อ๋อ!ได้แต่งงานไปแล้วด้วย (เลื่อนมาแต่งเร็วขึ้น) ทำไมนะหรอ? เพราะคำพูดของหมอเมย์( ดร.อิศรางค์ นุชประยูร Issarang Nuchprayoon ” อยากทำอะไรก็ทำเลยเถอะ คุณจะรอให้ตัวคุณเดินไม่ได้ในงานแต่งหรอ ตอนนี้คุณมีโอกาสแล้ว แต่งเลยมั้ยคับ ” ตอบทันทีที่หมอพูดว่าแต่งเลยดีกว่า เพราะเคยเห็นในยูทูปของคนไข้บางคนที่ต้องมาแต่งงานที่ รพ.งี้ เลยทำทุกอย่างที่อยากทำ ไปกราบในหลวงและเป่าSaxให้ท่านฟัง(สิ่งที่ตั้งใจไว้มาตลอด) ไปเที่ยวกับเพื่อนๆในที่ๆอยากไป เพราะชอบถ่ายภาพ เพราะงั้นการเป็นโรคนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เรากลัว แต่สิ่งที่คนป่วยกลัวคือการที่คนรอบข้างจะรับได้มั้ยกับสิ่งที่เราเป็น
11 ต.ค. 2017 เราโชคดีที่มีครอบครัว เพื่อนและแฟนที่น่ารัก บางคนเข้าใจในสิ่งที่เราเป็น แต่บางคนอาจจะไม่เข้าใจ แต่มีสิ่งเดียวที่ทุกคนเหมือนกันคือ ให้กำลังใจกับคนป่วยคนนี้เสมอ ขอขอบคุณทุกคนที่ช่วยให้เราผ่านจุดนี้ และต่อไปนี้เราจะเป็นคนแรกของโลกให้ดู ว่าเราจะอยู่ให้นานที่สุดในโลก
ณษิกา ปั้นเหน่งเพชร (ตาล)